————————————————————————————————
คัมภีร์อี้จิงโบราณของจีน (1122 ปีก่อนคริสต์กาล) กล่าวไว้ว่า ?สรรพสิ่งในจักรวาลนี้ ไม่มีอะไรหยุดนิ่ง ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรไม่เชื่อมโยงกัน และไม่มีอะไรไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน? ชาวจีนโบราณเชื่อในเรื่องความสมดุลของสรรพสิ่งในธรรมชาติ โดยมี ?พลังธรรมชาติ? หรือ ?พลังชีวิต? ที่ภาษาจีนกลางเรียกว่า ?ชี่? จีนแต้จิ๋วออกเสียงว่า ?ขี่? คนญี่ปุ่นเรียกว่า ?กิ? (Ki) ซึ่งหมายถึงสิ่งเดียวกับ ?ปราณ? (Prana) ในภาษาสันสกฤต หรือ ?นูมา? (Pneuma) ในภาษากรีก พลังธรรมชาติในความหมายนี้จะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งในร่างกายมนุษย์และทุกสรรพสิ่งในจักรวาล อารยธรรมโบราณทั่วโลกตั้งแต่อียิปต์ บาบีโลน เปอร์เซีย กรีก โรมัน จีน และอินเดีย ล้วนมีการกล่าวถึงการใช้พลังธรรมชาติและสมดุลของธรรมชาติทั้งสิ้น คนโบราณมองว่าทุกสรรพสิ่งในจักรวาลล้วนมีชีวิต คือ มีพลังชีวิตหรือปราณของตัวเอง แม้แต่วัตถุธาตุต่างๆ ที่เราจัดว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิต ในนัยยะนี้ก็ถือว่าล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตและมีพลังธรรมชาติไหลเวียนอยู่ในตัวเองทั้งสิ้น รวมถึงดวงดาวทั้งหลาย ภูเขา ก้อนหิน แม่น้ำ ก้อนเมฆ วัตถุสิ่งของต่างๆ และอะตอมทุกอะตอม และแน่นอนว่าต้องรวมถึง มนุษย์ทุกคน สัตว์ และ พืชทุกชนิดด้วย ดังที่กล่าวไว้ในคัมภีร์อี้จิงว่า ?ไม่มีสิ่งใดในจักรวาลนี้สามารถแยกขาดเป็นปัจเจกอย่างสมบูรณ์โดยไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเลย และไม่มีชี่ของสิ่งใดไม่เคลื่อนไหวแลกเปลี่ยนกับชี่ของสิ่งอื่น?
วงการวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์สายเมตาฟิสิกส์ได้พยายามศึกษาค้นคว้าเพื่อพิสูจน์ถึงความมีอยู่ของพลังธรรมชาติตามนัยยะนี้ จนทำให้มีความเข้าใจและยอมรับในความมีอยู่จริงของพลังธรรมชาติที่มองไม่เห็นเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่า พลังธรรมชาติหรือพลังชีวิตตามนัยยะนี้มีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ละเอียด บางส่วนมีความถี่ในช่วงของคลื่นความร้อนหรือรังสีอินฟาเรด และบางส่วนก็ละเอียดมากจนเครื่องมือในปัจจุบันไม่สามารถตรวจจับได้ แต่สามารถเห็นผลจากการกระทำของพลังธรรมชาติที่ละเอียดนี้ได้ และได้อธิบายว่า พลังธรรมชาติที่ว่านี้ ก็คือพลังงานรอบๆ ตัวเราที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สุดในการก่อรูปและประคองรักษาความมีอยู่ของสรรพสิ่ง ทุกสรรพสิ่งในจักวาลจะมีการถ่ายโอนแลกเปลี่ยนพลังธรรมชาติระหว่างกันอยู่เสมอ และการเปลี่ยนแปลงของพลังธรรมชาตินี้เองที่ก่อให้เกิดสรรพสิ่งในจักรวาลและปรากฏการณ์ธรรมชาติทั้งหลาย ฤดูกาลต่างๆ ก็เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของพลังธรรมชาติตามนัยยะนี้ และโดยธรรมชาติแล้ว ถ้าพลังชีวิตของสิ่งหนึ่งสมดุล ก็จะทำให้พลังชีวิตของสิ่งอื่นๆ ดีไปด้วย แต่ถ้าพลังชีวิตของสิ่งหนึ่งไม่สมดุล ก็จะส่งผลต่อพลังชีวิตของสิ่งอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ถ้าสรรพสิ่งมีความสมดุล พืชพันธุ์ไม้ก็เจริญงอกงาม ฝนฟ้าก็ตกตามฤดูกาล ผู้คนก็จะไม่เจ็บป่วย ดังนั้นความมีสุขภาพดีของทุกชีวิตในจักรวาล จึงขึ้นอยู่กับความสมดุล ความผสมผสานกลมกลืน และการแลกเปลี่ยนกันอย่างพอดี ระหว่างพลังชีวิตของตัวเองกับพลังชีวิตของสิ่งแวดล้อมนั่นเอง
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
จากการค้นพบทฤษฏีสัมพันธ์ภาพ (E=mc2 ) ของไอนสไตน์ และการหาคำตอบต่อคำถามที่เขาทิ้งไว้ให้กับวงการวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ของโลกตะวันตกก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ซึ่งก็คือความขัดแย้งระหว่างทฤษฏีหลักทางฟิสิกส์ที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป 3 ทฤษฎี ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ทุกสาขา ซึ่งได้แก่ ?ทฤษฏีสัมพันธภาพทั่วไป? ของไอนสไตน์ที่ศึกษาจักรวาลเพื่อเข้าใจจุดกำเนิดของเอกภพ ?ทฤษฎีควอนตัม? ของบอฮ์รที่ศึกษาอนุภาคที่เล็กที่สุดของอะตอมเพื่อเข้าใจธรรมชาติของชีวิตและสรรพสิ่ง และ ?ทฤษฏีแรงโน้นถ่วง? ของนิวตันที่ศึกษาผลของแรงดึงดูดเพื่อเข้าใจธรรมชาติตามสภาพความเป็นจริง ได้นำวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ยุคใหม่1 (Meta-Physic) ไปสู่การค้นพบทฤษฏีสตริงหรือทฤษฎีเส้นเชือก (Strings Theory) เมื่อปลายศตวรรษที่ 19 ต่อต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็น ทฤษฏีซุปเปอร์สตริง (Superstrings Theory หรือ Supersymmetrics String Theory) ที่อธิบายว่าทุกสรรพสิ่งในจักรวาลล้วนถือกำเนิดและดำเนินอยู่ต่อไปตามธรรมชาติด้วยพลังการสั่นไหว (Vibration) ที่ต่อเนื่องของอนุภาคที่เล็กที่สุดในลักษณะเป็นคลื่นที่เชื่อมโยงและสอดประสานกัน เหมือนเป็นสายเสียงของเครื่องดนตรีชิ้นใหญ่แห่งจักรวาล
ทฤษฏีนี้เป็นที่ยอมรับในหมู่นักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ยุคใหม่ เพราะสามารถผ่าทางตัน (breakthrough) ให้คำอธิบายปัญหาข้อขัดแย้งและประสานช่องว่างที่เกิดจากข้อจำกัดของทฤษฏีหลักทางฟิสิกส์ทั้งสามให้เป็นหนึ่งเดียว ทั้งยังได้เปิดมุมมองใหม่ในการทำความเข้าใจความเป็นจริงของธรรมชาติ ซึ่งทำให้วิทยาศาสตร์ทุกสาขาสามารถพัฒนาต่อไปได้อย่างก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ (quantum leap) อีกครั้งหนึ่งหลังจากการค้นพบทฤษฏีสัมพันธ์ภาพและทฤษฎีควอนตัม
ทฤษฏีซุปเปอร์สตริงอธิบายว่า ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลล้วนประกอบด้วยอนุภาคที่เล็กที่สุดที่มีการสั่นอยู่ตลอดเวลา และก่อให้เกิดพลังงานในรูปของคลื่นซึ่งมีได้หลายลักษณะและที่ระดับความถี่แตกต่างกัน คลื่นที่เรารู้จักกันทั่วไปก็คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แต่ก็ยังมีคลื่นลักษณะอื่นอีกหลายลักษณะด้วย โดยคลื่นเหล่านี้จะมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน และมีอิทธิพลซึ่งกันและกันตลอดเวลา มากน้อยแตกต่างกันไปตามลักษณะและกำลังของคลื่น เมื่อคลื่นเหล่านี้มาพบกันก็จะมีการปรับสมดุลคลื่นทั้งความถี่และกำลังคลื่น โดยคลื่นที่แรงกว่าสามารถมีอิทธิพลเหนือคลื่นที่อ่อนกว่า การปรับสมดุลของคลื่นจึงมีทั้งการเสริมหรือประสาน และการหักล้างกันเอง เพื่อสร้างสมดุลขององค์รวมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้คล้ายกันมากกับลักษณะของพลังธรรมชาติที่กล่าวไว้ในคัมภีร์อี้จิงโบราณอายุกว่า 3,000 ปีของจีน
นักวิทยาศาสตร์พบว่า ร่างกายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด รวมทั้งในต้นพืช สามารถผลิตคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชีวภาพขึ้นเองได้และเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของเซลล์ เนื่องจากเซลต่างๆ ในร่างกายหรือต้นพืชต้องมีการติดต่อสื่อสารส่งผ่านสาสน์สำคัญต่างๆ รวมทั้งพลังงานไปหล่อเลี้ยงเซลล์ในส่วนต่างๆ เปรียบเหมือนมีสายโทรศัพท์หรือเส้นลวดไฟฟ้าที่เซลล์ใช้ส่งผ่านข้อมูลเป็นโครงข่ายซับซ้อนอยู่ทั่วร่างกายและลำต้น เซลล์ส่งผ่านข้อมูลถึงกันและกันโดยอาศัยปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นระหว่างจุดเชื่อมต่อเซลล์ ซึ่งปฏิกิริยาเคมีหล่านี้จะทำให้เกิดประจุไฟฟ้า เป็นผลทำให้มีกระแสไฟฟ้าวิ่งจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่ง เซลล์ต่างๆ ยังมีการสื่อสารผ่านฮอร์โมนและเอ็นไซม์ด้วย โดยเซลล์ที่ผลิตฮอร์โมนหรือเอ็นไซม์ (อย่างต่อมไร้ท่อต่างๆ ในคน) จะส่งฮอร์โมนหรือข้อมูลไปสู่เซลล์เป้าหมายในส่วนต่างๆ ผ่านทางกระแสเลือดในคนและสัตว์ และผ่านท่อลำเลียงอาหารในพืช และเนื่องจากโดยธรรมชาติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เมื่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าต่างชนิดกันเข้าใกล้กันก็จะส่งผลต่อกันและกัน เหมือนคลื่นโทรศัพท์มือถือที่อยู่ใกล้วิทยุจะสามารถไปรบกวนคลื่นวิทยุได้ ในทำนองเดียวกัน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าต่างๆ มากมายในสภาพแวดล้อมก็ส่งผลบางอย่างกับต้นไม่พืชผักในบริเวณนั้นเช่นเดียวกัน เพียงแต่เราไม่สามารถมองเห็นผลที่เกิดขึ้นด้วยตาเปล่าเท่านั้น
นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกรู้ว่า น้ำ (H2O) มีความอ่อนไหวมากเป็นพิเศษต่อพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าภายนอก2 และเนื่องจากน้ำเป็นองค์ประกอบพื้นฐานสำคัญของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย จึงนิยมใช้น้ำเป็นตัวทดสอบผลกระทบจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าภายนอก
นักวิทยาศาสตร์ด้านน้ำชาวญี่ปุ่นชื่อ ดร.มาซารุ เอะโมโตะ ได้สนใจศึกษาถึงผลของพลังธรรมชาติทั้งพลังธรรมชาติด้านบวกและด้านลบ หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าลักษณะต่างๆ ที่มีต่อน้ำ เขาได้อาศัยข้อเท็จจริงของธรรมชาติที่ว่า เกร็ดหิมะ (snow flake) แต่ละเกร็ดที่ตกลงมาจากฟ้าเป็นล้านๆ เกร็ดนั้น แต่ละเกร็ดจะไม่มีลวดลายที่ซ้ำกันเลย และได้ทดลองนำน้ำไปแช่แข็งแล้วถ่ายภาพผลึกของน้ำ ซึ่งก็พบว่าน้ำจากแหล่งที่ต่างกันจะมีลวดลายของผลึกน้ำที่ไม่เหมือนกัน เขาจึงเริ่มเก็บตัวอย่างน้ำจากที่ต่างๆ และทดลองนำน้ำผ่านคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือพลังธรมมชาติชนิดต่างๆ ทั้งด้านบวกและด้านลบ ทั้งจากธรรมชาติแวดล้อมและอุปกรณ์เครื่อมมือต่างๆ เพื่อดูลักษณะที่แตกต่างของผลึกน้ำเหล่านั้น และเปรียบเทียบผลึกของน้ำก่อนและหลังได้รับพลังธรรมชาติลักษณะต่างๆ เช่น เสียงดนตรีประเภทต่างๆ (แสง สี เสียง เป็นคลื่อนแม่เหล็กไฟฟ้าประเภทหนึ่ง) นำเสียงของคำพูดที่มีอารมณ์และความหมายแตกต่างกัน หรือรูปภาพลักษณะต่างๆ และแม้แต่ประเภทภาชนะบรรจุที่แตกต่างกัน ฯลฯ ผลจากการทดลองของเขาทำให้เขาต้องตะลึงและมหัศจรรย์ใจกับผลของพลังธรรมชาติที่มีกับน้ำ ซึ่งปรากฏให้เห็นจากการเปลี่ยนแปลงของผลึกน้ำในแต่ละกรณี
เขาพบว่า ผลึกของน้ำจากธรรมชาติที่แวดล้อมด้วยพลังธรรมชาติด้านบวก (เช่น น้ำจากต้นน้ำลำธาร จากบ่อน้ำพุธรรมชาติในวัด หรือหิมะจากยอดเขาสูง ฯลฯ) หรือน้ำที่ได้รับพลังธรรมชาติด้านบวก (เช่น เสียงสวดมนต์ คำพูดเชิงบวก หรือภาพทิวทัศน์ธรรมชาติ ฯลฯ) จะมีรูปทรงเป็น 6 เหลี่ยม (hexagonal structure) และมีลวดลายสวยงามที่มีความสมมาตรกัน (symmetry) คล้ายกับลักษณะและลวดลายของเกร็ดหิมะในธรรมชาติ ส่วนน้ำที่สัมผัสหรือแวดล้อมด้วยพลังธรรมชาติด้านลบ (เช่น น้ำจากปลายหรือปากแม่น้ำที่ไหลผ่านแหล่งชุมชนและโรงงานอุตศาหกรรม หรือ น้ำจากบ่อน้ำเสีย ฯลฯ) หรือที่ได้รับพลังธรรมชาติด้านลบ (เช่น เสียงเพลงเฮวีเม็ทเทอล์ คำหยาบคาย หรือภาพน่าเกลียดน่ากลัว ฯลฯ) จะมีลักษณะไม่เป็นรูปเป็นร่าง ไม่มีรูปทรง หรือมีลวดลายที่ไม่น่าดูนัก
ดร.เอะโมโตะ ได้สรุปผลการทดลองของเขาว่า น้ำมีพลังชีวิตและความจำของตัวเอง และพลังธรรมชาติทุกชนิดมีผลกับน้ำ ซึ่งสามารถเห็นผลความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนเพียงข้ามคืน (ช่วงเวลาที่ใช้ทำการทดลอง) น้ำที่มีพลังธรรมชาติด้านบวกหรือมีภูมิต้านทานที่ดีจะมีโครงสร้างเป็นทรง 6 เหลี่ยมที่มีความสมมาตร ซึ่งเป็นรูปทรงพื้นฐานที่น้ำทุกประเภทพยายามจะปรับตัวเองไปสู่ หรือให้เป็นเมื่อได้รับพลังธรรมชาติด้านบวก น้ำที่ยิ่งได้รับพลังธรรมชาติด้านลบมาก ก็ยิ่งไม่เป็นรูปทรงหรือยิ่งไม่สมมาตร และดูน่าเกลียด (ดูรูปภาพถ่ายผลึกน้ำลักษณะต่างๆ และภาพเปรียบเทียบน้ำก่อนและหลังได้รับพลังเสียงสวดมนต์ ?ฮาโดะ? ของญี่ปุ่น รวมทั้งภาพน้ำที่ได้รับพลังธรรมชาติลักษณะต่างๆ ได้ที่ www.hadousa.com)
พวกเราคงเคยได้ยินเรื่องการทดลองเปิดเพลงให้ต้นไม้ฟังมาบ้าง ถ้าเปิดเพลงเย็นๆ เบาๆ ต้นไม้จะโตเร็วและแข็งแรงไม่มีโรคพืชหรือแมลงมารบกวน แต่ถ้าเปิดเพลงร้อนแรง ต้นไม้จะโตช้าและมีโรคมากกว่าต้นที่ไม่ได้ฟังเพลงเลย ก่อนหน้านี้ไม่ใครอธิบายได้ว่าผลที่ปรากฏมีสาเหตุจากอะไร แต่หากใช้ผลการทดลองของ ดร.เอะโมโตะ ก็พอจะอธิบายได้ว่า อาจเป็นเพราะผลจากพลังของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในรูปของเสียงเพลงที่เปิดให้ต้นไม้ฟัง ได้ไปเปลี่ยนโครงสร้างรูปทรงของน้ำภายในต้นพืช และส่งผลต่อสุขภาพและการเติบโตของต้นพืชนั้นเอง
ธรรมชาติของน้ำอีกข้อหนึ่งที่มีผลต่อการเจริญโตของพืช คือ การจับรวมตัวกันเป็นกลุ่มโมเลกุลของน้ำ โดยปกติธรรมชาติ น้ำจะมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มโมเลกุลขนาดต่างๆ ตามแต่อิทธิพลของพลังแม่เหล็กไฟฟ้ารอบๆ ตัว ถ้ากลุ่มโมเลกุลของน้ำยิ่งเล็กก็จะทำให้น้ำสามารถเคลื่อนผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ดียิ่งขึ้น น้ำที่ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามากหรือนานเกินไปจะมีโครงสร้างกลุ่มโมเลกุลที่ใหญ่ขึ้น ตัวอย่างเช่น โดยทั่วไปน้ำประปาจะจับตัวเป็นกลุ่มละประมาณ 14 โมเลกุล แต่เมื่อได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามากถึงขั้นเป็นอันตรายต่อร่างกาย น้ำจะปรับการจับตัวเป็นกลุ่มละ 30 โมเลกุล ซึ่งทำให้ผ่านเข้าออกเซลล์ได้ยากขึ้น จึงนำสารอาหารต่างๆ ไปหล่อเลี้ยงเซลล์ได้ไม่เต็มที่ ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถนำของเสียจากภายในเซลล์ออกมาทิ้งภายนอกได้โดยสะดวก เกิดการหมักหมมและเป็นพิษอยู่ภายใน ทำให้เซลล์อ่อนแอลงและเสื่อมคุณภาพ เป็นผลให้ภูมิคุ้มกันเชื้อโรคบกพร่อง และเกิดโรคต่างๆ ตามมาได้ง่าย
ดังนั้น หนึ่งในหลักสำคัญของการทำเกษตรอินทรีย์องค์รวม จึงคำนึงถึงการป้องกันอันตรายที่มองไม่เห็นในสภาพแวดล้อมแต่มีอิทธิพลกับพืช เช่น หลีกเลี่ยงการปลูกพืชใกล้เสาส่งไฟฟ้าแรงสูง เป็นต้น และในทางกลับกันก็มีการนำพลังธรรมชาติด้านบวกมาช่วยเสริมการเจริญเติบโตและเพิ่มผลผลิตของพืชที่ปลูก เช่น การใช้เสียงเพลงหรือเสียงสวดมนต์ หรือพลังการการแผ่เมตตา หรือการให้น้ำที่ใช้รดต้นพืชผ่านแท่งแม่เหล็กเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างและขนาดโมเลกุลของน้ำ ฯลฯ เป็นต้น
แรงดึงดูดของดวงจันทร์และโลก
บางคนอาจเคยได้อ่านหนังสือหรือได้ยินคนรุ่นปู่ย่าตายายพูดถึงวิธีการปลูกพืชของคนสมัยก่อนที่จะรอวันข้างขึ้นข้างแรมที่เหมาะสม และหลายคนก็คงอาจคิดว่าเป็นความงมงายล้าหลังของคนรุ่นเก่าที่ไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์หรือวิชาการเกษตรสมัยใหม่ก็เป็นได้ แต่ในปัจจุบัน คนที่ไม่เข้าใจถึงผลของข้างขึ้นข้างแรมต่อการปลูกพืชอาจเป็นคนที่ล้าสมัยยิ่งกว่าคนโบราณเสียอีก เพราะปัจจุบันได้มีการนำความรู้วิทยาศาสตร์มาทำความเข้าใจหลักการทำเกษตรของคนโบราณ จนทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักการเกษตรที่มีใจเปิดกว้างต้องทึ่งกับความรู้และความเข้าใจธรรมชาติของคนโบราณ
การปลูกพืชโดยเข้าใจอิทธิพลของข้ามขึ้นข้ามแรมที่มีต่อพืช ก็คือการเข้าใจอิทธิพลของแรงดึงดูดของดวงดาวตามทฤษฎีแรงดึงดูดของนิวตันนั่นเอง เนื่องจากดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมากที่สุด โลกจึงได้รับอิทธิพลของแรงดึงดูดจากดวงจันทร์อย่างชัดเจน และเห็นได้เป็นประจำทุกวันจากปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงบนโลกในแต่ละวันนั่นเอง พืชก็มีน้ำเป็นส่วนประกอบไม่น้อย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่น้ำในต้นพืชหรือในเมล็ดพืชที่เพาะเอาไว้จะได้รับอิทธิพลจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์ด้วย
เนื่องจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์มีการเพิ่มและลดเป็นวัฏจักรที่แน่นอนในหนึ่งรอบข้างขึ้นข้างแรม ประกอบกับปริมาณของแสงจันทร์ที่แตกต่างกันในช่วงข้างขึ้นและข้างแรม จึงทำให้พืชมีพฤติกรรมการเจริญเติบโตที่สอดคล้องกับวงจรธรรมชาติของแรงดึงดูดและปริมาณแสงของดวงจันทร์ วิธีการเกษตรอินทรีย์องค์รวมแนะนำให้เพาะเมล็ดและย้ายกล้าลงแปลงตามระยะของข้างขึ้นข้างแรมดังนี้
สำหรับการเพาะเมล็ด เมล็ดพืชที่งอกเร็วและเมล็ดที่งอกช้ามากเป็นพิเศษ (ใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการเพาะเมล็ด) ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพืชประเภทผักและสมุนไพร ให้เริ่มเพาะลงดินราว 2 วันก่อนที่ดวงจันทร์จะขึ้นรอบใหม่หรือวันขึ้น 1 ค่ำ ซึ่งเป็นช่วงที่แรงดึงดูดของดวงจันทร์สูงที่สุดและมีแสงจันทร์น้อยที่สุด คือให้เริ่มเพาะเมล็ดในวันแรม 13 หรือ 14 ค่ำ ความจริงแล้ววันที่แน่นอนในการลงมือเพาะเมล็ดจะไม่สำคัญเท่ากับการใช้ประโยชน์จากพลังของธรรมชาติ การเพาะเมล็ดที่งอกเร็วสองวันก่อนที่แรงดึงดูดของดวงจันทร์จะแรงที่สุด ทำให้เมล็ดพืชมีเวลาที่จะดูดน้ำเข้าไปและทำให้เมล็ดพืชเริ่มพองตัว แรงดึงดูดของดวงจันทร์จะมาช่วยหนุนเสริมดึงดูดน้ำในเมล็ดพืชทำให้เปลือกหุ้มเมล็ดแตกออกได้ง่ายขึ้น
หลังจากวันขึ้น 1 ค่ำ แรงดึงดูดของดวงจันทร์จะค่อยๆ ลดลงโดยใช้เวลา 7 วันไปถึงจุดต่ำสุดในวันขึ้น 7 ค่ำ และจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นโดยใช้เวลาอีก 7 วันไปถึงจุดสูงสุดอีกครั้งในวันขึ้น 15 ค่ำ ขณะที่ปริมาณแสงจันทร์จะค่อยๆ สว่างขึ้นต่อเนื่องไปจนสว่างที่สุดในวันขึ้น 15 ค่ำ ในช่วง 7 วันแรก (จากขึ้น 1 ค่ำถึงขึ้น 7 ค่ำ) แรงดึงดูดของดวงจันทร์จะค่อยๆ ลดลง ขณะที่ปริมาณของแสงค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น พืชจะมีการเติบโตที่สมดุล แรงดึงดูดที่ลดลงของดวงจันทร์ (ซึ่งหมายถึงการเพิ่มขึ้นของอิทธิพลจากแรงดึงดูดของโลกในทิศทางตรงข้าม) จะกระตุ้นการเติบโตของส่วนราก (ส่วนใต้ดินที่โตเข้าหาแรงดึงดูดของโลก) ในขณะที่การเพิ่มของแสงจันทร์จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของส่วนใบและลำต้น (ส่วนเหนือดิน)
ในช่วง 7 วันที่สอง (จากขึ้น 7 ค่ำถึงขึ้น 15 ค่ำ) แรงดึงดูดของดวงจันทร์จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งแรงดึงดูดของดวงจันทร์ที่เพิ่มขึ้น (จนมากกว่าแรงดึงดูดของโลก) จะไปชลอการเติบโตของราก (ซึ่งโตไปในทิศทางตรงข้ามกับแรงดึงดูดของดวงจันทร์) ส่วนแสงจันทร์ที่ยิ่งสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ จะช่วยกระตุ้นให้ใบโตและลำต้นมากขึ้น ถ้าหากส่วนรากมีการเจริญเติบโตได้ดีในช่วง 7 วันแรก จะทำให้รากสามารถดูดน้ำและสารอาหารมาเลี้ยงใบและลำต้นได้อย่างดีในช่วง 7 วันที่ 2 นี้ ทำให้เกิดความสมดุลและพืชสามารถเติบโตได้อย่างราบลื่นต่อเนื่อง ในช่วงนี้ที่แรงดึงดูดของดวงจันทร์เพิ่มสูงขึ้นและแสงจันทร์สว่างขึ้น จะสามารถช่วยส่งแรงกระตุ้นให้เมล็ดพืชที่ยังไม่งอกในช่วงขึ้น 1 ค่ำ มางอกในช่วงที่พระจันทร์เต็มดวง ซึ่งเป็นช่วงที่เปลือกของเมล็ดพืชไม่อาจต้านการงอกจากเมล็ดได้ ซึ่งอาจสังเกตเห็นได้ว่าเห็ดต่างๆ จะปรากฏให้เห็นในชั่วข้ามคืนในช่วงนี้
ระหว่างช่วง 7 วันถัดไป หรือ 7 วันที่ 3 ของวัฎจักรข้างขึ้นข้างแรม จะเข้าสู่ช่วงข้างแรมที่แสงจันทร์จะค่อยๆ ลดความสว่างลง และแรงดึงดูดของดวงจันทร์ก็จะค่อยๆ ลดลงโดยใช้เวลา 7 วันไปถึงจุดต่ำสุดในวันแรม 7 ค่ำ เมื่อแสงจันทร์ค่อยๆ ลดลง การเติบโตของใบและลำต้นก็จะเริ่มช้าลง ขณะที่รากได้รับการกระตุ้นอีกครั้งจากแรงดึงดูดของโลก ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เหมาะสำหรับการย้ายกล้าลงแปลง เพราะเป็นช่วงที่รากเจริญเติบโตได้ดี ซึ่งสามารถช่วยให้รากฟื้นตัวจากความบอบช้ำระหว่างการย้ายกล้าได้เร็วขึ้น และมีเวลาให้รากได้เติบโตพัฒนาระบบรากที่ดีขณะที่ใบและลำต้นเริ่มชลอการเติบโต เพื่อให้ในอีก 21 วันข้างหน้าเมื่อใบและลำต้นมีการเจริญเติบโตสูงที่สุด ต้นพืชจะมีระบบรากที่พร้อมจะดูดน้ำและธาตุอาหารไปช่วยการเจริญเติบโตของใบและลำต้นได้อย่างเต็มที่ ช่วงเวลานี้ก็เป็นเวลาสำหรับการเพาะเมล็ดพืชที่งอกช้าหรือใช้เวลาในการงอกประมาณ 2 สัปดาห์ เมล็ดพืชเหล่านี้จะพร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากแรงกระตุ้นของดวงจันทร์ในวันขึ้น 1 ค่ำพอดี
ระหว่างช่วง 7 วันสุดท้าย (แรม 7 ค่ำถึงแรม 14 หรือ 15 ค่ำ) แรงดึงดูดของดวงจันทร์จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นอีกครั้ง ทำให้รากชลอการเติบโต ขณะที่แสงจันทร์ค่อยๆ หายไป ทำให้ใบและลำต้นชลอการเติบโตด้วย ช่วงนี้จึงถือเป็นช่วงที่พืชมีความสมดุลในการชลอการเติบโต เป็นช่วง 7 วันที่พืชจะพักตัวและเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่ช่วงความสมดุลในการเจริญเติบโตเมื่อเริ่มรอบใหม่ของข้างขึ้นข้างแรม
และนี้ก็คือวัฏจักรการเจริญเติบโตของพืชที่เกิดขึ้นทุกรอบ 28 วัน สอดคล้องกับวัฏจักรของดวงจันทร์ ด้วยเหตุนี้ การปลูกพืชตามรอบข้างขึ้นข้างแรมจึงสามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงและคุณภาพของพืชที่ปลูกได้ ในการทำเกษตรอินทรีย์องค์รวม เมื่อคุณภาพดินมีการฟื้นตัวดีมากขึ้นเรื่อยๆ และผู้ปลูกมีความชำนาญมากขึ้น ประเด็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จะเริ่มมีความสำคัญมากขึ้น และจะส่งผลกระทบสูงขึ้นกับผลผลิต วิธีการปลูกพืชตามรอบข้างขึ้นข้างแรมจึงอาจเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยเพิ่มผลผลิตของระบบองค์รวมได้
รวบรวมและเรียบเรียง – ทัศนีย์ เศรษฐ์บุญสร้าง
tatsanee@NawaChiOne.org
? สงวนลิขสิทธิ์
อนุญาตให้ใช้เพื่อการศึกษาที่ไม่เป็นธุรกิจ แต่ขอให้อ้างอิงแหล่งที่มาด้วย
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
1 ฟิสิกส์ยุคใหม่ (Meta-Physic) เป็นสาขาวิทยาศาสตร์ที่มีเป้าหมายเพื่อทำความเข้าใจใน 3 เรื่อง คือ เข้าใจธรรมชาติของสภาพความเป็นจริง เข้าใจธรรมชาติของชีวิต และเข้าใจจุดกำเนิดของเอกภพ
2 สาเหตุที่น้ำ (H2O) มีความอ่อนไหวต่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นพิเศษ เพราะในนิวเคลียสของอ๊อกซิเจนอะตอม (O) มีความเป็นกลางทางประจุไฟฟ้า คือไม่มีปฎิกิริยาต่อแม่เหล็ก จึงไม่ตอบสนองต่อแรงแม่เหล็กภายนอก เป็นผลให้โปรตอนตัวเดียวในนิวเคลียสของไฮโดนเจนอะตอม (H) ที่มีอยู่ถึง 2 ตัวในโมเลกุลของน้ำ สามารถคล้อยตามแรงแม่เหล็กภายนอกได้อย่างง่ายดาย