- บทที่ 1:?รู้จักและเข้าใจพลังชีวิต
- บทที่ 2:?พลังชีวิตมาจากไหน
- บทที่ 3:?พลังชีวิตมีผลกับสุขภาพอย่างไร
- บทที่ 4:?การฝึกฝนบ่มเพาะพลังชีวิต
- บทที่ 5:?ชี่กงกับดนตรี 5 เสียง
- บทที่ 6:?วิทยาศาสตร์กับพลังบำบัดของเสียง
- ปิดท้าย
————————————————————————————————
วิทยาศาสตร์กับพลังบำบัดของเสียง
วิทยาศาสตร์สาขาเมตาฟิสิกส์ (metaphysic) ได้พยายามศึกษาทำความเข้าใจความเป็นไปของสรรพสิ่งและจักรวาล จนมีการคิดค้นทฤษฏีเส้นเชือก (String Theory) ที่อธิบายว่าทุกสรรพสิ่งในจักรวาลเกิดขึ้นและเป็นอยู่ได้ด้วยการสั่นไหว (vibrate) ตลอดเวลาของเส้นบางๆ ขนาดเล็กเป็นหลายล้านส่วนของอะตอม โดยการสั่นไหวจะเกิดเป็นเสียงตัวโน๊ต ที่โน๊ตแต่ละตัวที่ออกมาจะแทนอนุภาคแต่ละอนุภาค
จากพื้นฐานนี้ ศาสตร์การแพทย์ตะวันตกได้ค้นพบว่า เซลล์ของอวัยวะแต่ละส่วนในร่างกายจะมีการสั่นไหวที่ความถี่คลื่นเฉพาะของตัวเอง ในร่างกายคนที่มีสุขภาพสมบูรณ์ คลื่นความถี่ของแต่ละอวัยวะในร่างกายจะทำงานสอดประสานกันเป็นคลื่นความถี่รวมของร่างกาย เหมือนการบรรเลงเพลงของวงดนตรีวงใหญ่ ที่มีเสียงที่แตกต่างกันของเครื่องดนตรีหลากหลายชนิด แต่ประสานกลมกลืนรวมเป็นเสียงเพลงที่ไพเราะได้ แต่หากมีเครื่องดนตรีชิ้นใดบรรเลงผิดพี้ยนหรือตั้งระดับเสียงผิดไป ก็จะทำให้เสียงเพลงที่บรรเลงออกมาผิดเพี้ยนไม่ไพเราะเท่าที่ควร เช่นเดียวกับการสั่นไหวของเซลล์ของแต่ละอวัยวะ หากเซลล์ของอวัยวะใดมีการสั่นในระดับความถี่ที่ผิดเพี้ยนไปจากความถี่ปกติตามธรรมชาติ ก็หมายถึงมีความผิดปกติในการทำงานของอวัยวะส่วนนั้นๆ ซึ่งจะมีผลทำให้ระบบของอวัยวะนั้นทำงานไม่ปกติ ส่งผลให้ระบบอวัยวะส่วนอื่นๆ เสียกระบวนตามไปด้วย และนำไปสู่ความเจ็บป่วยของร่างกายในที่สุด
นักวิทยาศาสตร์พบว่า คนที่ร่างกายมีสุขภาพปกติ เซลล์ของอวัยวะต่างๆ โดยรวมจะมีระดับความถี่คลื่นระหว่าง 60-90 รอบต่อวินาที หรือ เฮิร์ตซ์ (Hz) คนที่สุขภาพไม่แข็งแรงจะมีความถี่ของร่างกายโดยเฉลี่ยต่ำกว่า 60 เฮิร์ตซ์ เช่น การติดเชื้อไวรัสจะมีความถี่ที่ 55 เฮิร์ตซ์ ไข้หวัดจะมีความถี่ 58 เฮิร์ตซ์ และโรคมะเร็งมีความถี่ที่ 42 เฮิร์ตซ์ เป็นต้น หรือหากเซลล์สมองส่วนหนึ่งส่วนใดเกิดสั่นด้วยความถี่ที่ต่างจากช่วงปกติไป 3-10 เฮิร์ตซ์ ก็จะปรากฏความผิดปกติให้เห็นที่ร่างกายเป็นอาการปวดศรีษะ
เป็นที่ทราบกันแล้วว่า เสียงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารูปแบบหนึ่ง ด้วยคุณสมบัติตามธรรมชาติของคลื่นโดยทั่วไปที่สามารถเหนี่ยวนำหรือประสานคลื่นกันได้ และสามารถใช้คลื่นสั่นพ้อง (resonance) ที่มีกำลังสูงกว่าช่วยเหนี่ยวนำคลื่นที่มีกำลังอ่อนกว่าให้สั่นในระดับความถี่และความยาวคลื่นที่ต้องการได้ ซึ่งรวมไปถึงคลื่นสมองที่มีผลในการปรับปลี่ยนภาวะการทำงานของร่างกายและต่อมไร้ท่อต่างๆ ในร่างกาย จึงมีการใช้คลื่นสั่นพ้องมาเป็นตัวเหนี่ยวนำการสั่นของเซลล์อวัยวะร่างกายที่ทำงานผิดปกติ ให้กลับสู่การสั่นที่ระดับความถี่ตามธรรมชาติที่ควรจะเป็นเพื่อบำบัดอาการเจ็บป่วยของร่างกาย เช่น มีการใช้คลื่นความถี่ช่วง 25-50 เฮิร์ตซ์ในการรักษาโรคกระดูก หรือใช้คลื่นเสียงแบบสองจังหวะ (binaural beats) ไปเหนี่ยวนำคลื่นสมองให้เข้าสู่ช่วงความถี่คลื่นที่ต้องการ เพื่อให้เกิดผลต่อการทำงานของระบบร่างกาย การทดลองยังพบอีกว่า คลื่นเสียงระหว่างช่วงโน๊ตเสียงลา หรือ โน๊ตตัวเอ (A) ที่ความถี่ 440 เฮิร์ตซ์ และโน๊ตเสียงที หรือโน๊ตตัวบี (B) ที่ความถี่ 493 เฮิร์ตซ์ จะสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ เพราะเสียงในช่วงนี้สามารถเปลี่ยนโครงสร้างภายในของเซลล์มะเร็งได้อย่างสิ้นเชิง ทำให้เซลล์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ และหากเพิ่มความถี่ให้สูงขึ้น เซลล์มะเร็งก็จะระเบิดแตกตายในที่สุด ทำนองเดียวกับเสียงร้องโซปราโนที่แหลมและสูงมากๆ จนสามารถทำให้แก้วแตกได้นั้นเอง
โดยธรรมชาติ หูของมนุษย์สามารถได้ยินเสียงในช่วงความถี่ 20-22,000 เฮิร์ตซ์เท่านั้น แต่เสียงที่หูคนไม่สามารถได้ยินก็มีผลทั้งด้านบวกและลบต่อร่างกายของเราด้วย ปัจจุบันมีการบำบัดอาการป่วยที่แพทย์แผนปัจจุบันรักษาไม่ได้ โดยให้ผู้ป่วยไปว่ายน้ำกับปลาโลมา อาการป่วยก็ดีขึ้นหรือปัญหาการเจ็บป่วยหายไปได้
รวบรวมและเรียบเรียง – ทัศนีย์ เศรษฐ์บุญสร้าง
tatsanee@NawaChiOne.org
??สงวนลิขสิทธิ์