- บทที่ 1:?รู้จักและเข้าใจพลังชีวิต
- บทที่ 2:?พลังชีวิตมาจากไหน
- บทที่ 3:?พลังชีวิตมีผลกับสุขภาพอย่างไร
- บทที่ 4:?การฝึกฝนบ่มเพาะพลังชีวิต
- บทที่ 5:?ชี่กงกับดนตรี 5 เสียง
- บทที่ 6:?วิทยาศาสตร์กับพลังบำบัดของเสียง
- ปิดท้าย
สารบัญ
————————————————————————————————
พลังชีวิตมีผลกับสุขภาพอย่างไร
เรื่องของสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ และในปัจจุบันพวกเราส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจคำว่าสุขภาพคลาดเคลื่อน ทำให้มีการกำหนดวิธีการดูแลรักษาสุขภาพอย่างคับแคบและแยกส่วน หากมองในความหมายที่แท้จริงของคำว่าสุขภาพ สุขภาพคือเป้าหมายของชีวิตและสังคม คำจำกัดความที่องค์การอนามัยโลกได้ให้ไว้ สุขภาพจะหมายถึง สุขภาวะโดยสมบูรณ์ทั้งทางกาย ทางจิต และทางสังคม โดยสรุปคือความสุขหรือคุณภาพชีวิตที่มีความเกี่ยวข้องกันทั้งทางกาย ทางจิตใจ จิตวิญญาณ และในทางสังคมด้วย หรือก็คือ วิถีการดำเนินชีวิตของเราภายใต้สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบตัวทั้งหมด ที่การแพยท์ตะวันตกรุ่นใหม่เรียกว่า สุขภาพองค์รวม (holistic health) ซึ่งก็เป็นไปตามหลักการของศาสตร์การแพทย์จีนโบราณ ที่มองความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงอย่างแยกกันไม่ออกของพลังชีวิตส่วนต่างๆ ดังที่ได้อธิบายมาแล้วก่อนหน้านี้
หากจะมองสุขภาพในทางร่างกาย ตามศาสตร์การแพทย์ตะวันตกจะเชื่อว่าอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้นจากเชื้อโรค คือเชื้อจุลินทรีย์หรือเชื้อไวรัส การรักษาโรคซึ่งเกิดจากการติดเชื้อหรืออาการอักเสบต่างๆ จึงเป็นการใช้ยาไปฆ่าเชื้อจุลินทรีย์หรือเชื้อไวรัสโดยตรง หากเป็นพวกโรคไม่มีเชื้อ เช่น หลอดเลือดอุดตัน หรือความดัน ก็ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ตะวันตกในการจัดการรักษา แต่เอกสารของสำนักงานคณะกรรมการประเมินเทคโนโลยี (Technology Assessment Board) ของรัฐสภาสหรัฐอเมริกาได้ระบุว่า สาเหตุของการหายจากโรคที่เกิดจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ มีไม่ถึง 20% นอกนั้นหายเพราะสาเหตุอื่น เช่น หายเอง หายเพราะความเชื่อหรือศรัทธา หรือเพราะได้รับความสนใจมีคนเอาใจใส่ดูแล ซึ่งเป็นสาเหตุทางจิตใจเสียส่วนใหญ่ แต่แน่นอนว่าถ้าอาการป่วยรุนแรงหรือฉุกเฉินแบบที่เป็นอันตรายถึงชีวิตหากรักษาไม่ทันท่วงที อย่างเช่นไส้ติ่งอับเสบหรือกระเพาะทะลุ การผ่าตัดย่อมเป็นการรักษาที่ดีที่สุด ซึ่งถือเป็นส่วนที่อยู่ใน 20% ที่เทคโนโลยีทางการแพทย์สามารถช่วยรักษาได้ แต่ก็เป็นลักษณะการรักษาเฉพาะจุด หรือแบบแยกส่วน
ในศาสตร์การแพทย์ของจีน การรักษาโรคติดเชื้อหรืออาการอักเสบจะเป็นการระดมพลังชีวิตหรือพลังชี่ ซึ่งเป็นพละกำลังที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย ให้ไปปรับสมดุลการทำงานของระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะระบบภูมิต้านทานที่เสียสมดุลไปจนปรากฏเป็นความป่วยไข้ขึ้นมา เพื่อนำไปต่อสู้เอาชนะเชื้อโรคเหล่านั้น ดังจะเห็นได้ว่าศูนย์พลังของชี่ในร่างกายก็เกี่ยวข้องกับตำแหน่งของต่อมไร้ท่อสำคัญๆ ที่ผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นสำหรับการดูแลรักษาสุขภาพของร่างกายด้วยเช่นกัน
เนื่องจากโดยธรรมชาติ ชี่ของสิ่งหนึ่งจะถูกดึงและถูกดูดจากชี่ของสิ่งอื่นๆ รอบตัวอยู่เสมอ ชี่ทุกชนิดจึงต้องพยายามรักษาและปรับสมดุลของตัวเองอยู่ตลอดเวลาตามธรรมชาติ เนื่องจากจักรวาลและโลกเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ทำให้กระแสชี่ของทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนถ่ายจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งตลอดเวลาด้วย ตรงไหนพร่อง ชี่อื่นก็จะไหลเข้ามาแทนที่ ตรงไหนล้น ชี่ส่วนที่เกินก็จะกระจายตัวออกไปแทรกรวมกับชี่อื่นที่อยู่รอบๆ เมื่อใดที่ชี่ในธรรมชาติเกิดเสียสมดุล ธรรมชาติก็จะหาวิธีการปรับเพื่อให้ชี่กลับสู่สมดุล ปรากฎเป็นการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ฝนตก ฟ้าร้อง ฯลฯ หากเกิดการเสียสมดุลของธรรมชาติยิ่งมาก อย่างการที่มนุษย์ได้เผาเชื้อเพลิงจากฟอสซิลอย่างมหาศาลเพื่อใช้เป็นพลังงานขับเคลื่อนสังคมอุตสาหกรรม จนทำให้เกิดภาวะโลกร้อนอย่างที่เป็นอยู่ ธรรมชาติก็จะหาวิธีการปรับเพื่อให้ชี่กลับสู่สมดุล เกิดผลเป็นความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศทั่วโลก เมื่อมีการเสียสมดุลยิ่งมาก ระดับการเปลี่ยนแปลงก็จะยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย จึงปรากฏเป็นพิบัติภัยทางธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้นทั่วโลกอย่างที่เป็นอยู่
ชีวิตมนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งในปรากฏการณ์ปรับสมดุลของธรรมชาตินี้ กระแสชี่ที่ไหลเวียนในเส้นชี่ทั่วร่างกายมีการแปรเปลี่ยนตามพลังแปรเปลี่ยนของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวต่างๆ เช่นกัน ดังที่แรงดึงดูดของดวงจันทร์สามารถมีอิทธิพลก่อให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงบนโลก ร่างกายของคนเราซึ่งประกอบด้วยน้ำถึง 70% ก็ย่อมต้องได้รับอิทธิพลในทำนองเดียวกันด้วย แรงดึงดูดของดวงจันทร์ทำให้ชี่ในเส้นชี่เพิ่มขึ้น มีผลไปกระตุ้นให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานมากขึ้น ร่างกายก็ต้องพยายามปรับให้ระบบต่างๆ กลับสู่สมดุล เวลาที่พายุรังสีสุริยะจากดวงอาทิตย์มีความรุนแรง จะรบกวนสัญญาณวิทยุโทรทัศน์บนโลก คลื่นสัญญาณเหล่านี้เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคล้ายคลื่นของพลังชี่ รังสีสุริยะจึงมีผลกับชี่ในร่างกายเช่นกัน การเปลี่ยนฤดูกาลก็มีผลกับการทำงานของชี่ด้วย คนเราจึงมักเป็นหวัดไม่สบายในช่วงที่มีการเปลี่ยนฤดูกาล เพราะชี่ภายในร่างกายเสียสมดุลจากการแปรเปลี่ยนของชี่ธรรมชาติภายนอก หรือแม้แต่อารมณ์ของคนเราก็มีผลต่อความสมดุลของชี่ในร่างกายด้วย
ผลของพลังชี่ที่เห็นได้ผ่านผลึกน้ำ
เป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกว่า น้ำ (H2O) ที่มีโครงสร้างโมเลกุลประกอบด้วยไฮโดรเจน 2 อะตอมและอ๊อกซิเจน 1 อะตอม มีความอ่อนไหวมากเป็นพิเศษต่อพลังงานแม่เหล็กจากภายนอก เพราะในนิวเคลียสของออกซิเจนอะตอมมีความเป็นกลางไม่มีปฎิกิริยาแม่เหล็ก จึงไม่ตอบสนองต่อแรงแม่เหล็กภายนอก เป็นผลให้โปรตอนตัวเดียวในนิวเคลียสของไฮโดนเจนทั้ง 2 อะตอมสามารถคล้อยตามแรงแม่เหล็กภายนอกได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากพลังชี่ก็มีคุณสมบัติเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ดร.มาซารุ อิโมโตะ (Dr. Masaru Emoto) นักวิทยาศาสตร์ด้านน้ำชาวญี่ปุ่น จึงสนใจศึกษาถึงผลของพลังชี่ หรือที่เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า ฮาโดะ (Hado) ที่มีต่อน้ำ ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานสำคัญของร่างกาย เขาได้ถ่ายภาพผลึกของน้ำจากที่ต่างๆ ซึ่งได้รับพลังชี่จากธรรมชาติแวดล้อม รวมทั้งผลึกของน้ำก่อนและหลังได้รับพลังชี่ลักษณะต่างๆ ผลการทดลองทำให้เขาต้องตะลึงและมหัศจรรย์ใจกับพลังการบำบัดของชี่ที่ปรากฏให้เห็นในผลึกของน้ำ ผลึกของน้ำที่ได้รับพลังชี่ด้านบวกจะมีรูปทรงเป็นลวดลายสมมาตรสวยงามคล้ายลวดลายของเกร็ดหิมะ (snow flake) ส่วนน้ำที่ได้รับพลังชี่ด้านลบจะมีลวดลายที่ไม่สมส่วนไม่เป็นรูปร่างและไม่น่าดูนัก ในการศึกษาได้มีการทดลองใช้พลังชี่ลักษณะต่างๆ เช่น ชี่จากเสียงดนตรีประเภทต่างๆ ชี่ของอารมณ์ที่ออกมากับคำพูดที่มีความหมายทั้งด้านบวกและลบ หรือกระทั้งเขียนคำที่มีความหมายทั้งบวกและลบไปปะไว้บนขวดน้ำ หรือใช้รูปภาพต่างๆ โดยนำขวดน้ำตั้งไว้บนภาพ เป็นต้น ผลจากการทดลองพบว่า ฮาโดะหรือชี่ทุกลักษณะมีผลกับน้ำ และสามารถเห็นผลความเปลี่ยนแปลงได้ในช่วงเวลาข้ามคืน (เพราะการทดลองจะปล่อยน้ำไว้ภายใต้สภาพเงื่อนไขที่ทดลองข้ามคืน)
ดร.อิโมโตะ ได้สรุปผลจากการทดลองของเขาว่า น้ำมีพลังชีวิต หรือพลังชี่ และน้ำที่มีพลังชี่ด้านบวกหรือมีภูมิต้านทานที่ดี จะมีโครงสร้างเป็นทรง 6 เหลี่ยม (hexagonal structure) ที่มีความสมมาตร ซึ่งเป็นรูปทรงพื้นฐานที่น้ำทุกประเภทพยายามจะปรับตัวให้เป็นหรือให้เกิดขึ้นเมื่อได้รับพลังชี่ด้านบวก น้ำที่ได้รับพลังชี่ด้านลบยิ่งมาก ก็จะยิ่งไม่เป็นรูปทรง หรือยิ่งไม่สมมาตร และไม่น่าดู หรือดูน่าเกลียด
หากพลังชี่ลักษณะต่างๆ แม้แต่น้ำเสียงจากคำพูดที่เราใช้ในชีวิตประจำวันโดยไม่ได้คิดเป็นประจำ ก็สามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับน้ำได้มากมายและแจ่มชัด ตามที่เห็นจากผลการศึกษาทดลองกับผลึกน้ำเหล่านี้ และในเมื่อร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำถึง 70% หรือไข่ที่ปฏิสนธิแล้วและเริ่มแบ่งตัวเจริญเติบโตพัฒนาเป็นทารกในครรภ์ประกอบด้วยน้ำถึง 95% ก็ลองคิดดูกันเอาเองว่าพลังชี่ต่างๆ ที่อยู่รอบและในตัวของเราจะมีผลต่อสุขภาพของเรา หรือต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ได้อย่างไรบ้างและมากน้อยขนาดไหน พวกเราคงเคยได้ยินเรื่องการทดลองเปิดเพลงให้ต้นไม้ฟัง ถ้าเปิดเพลงเย็นๆ เบาๆ ฟังสบายๆ ต้นไม้จะโตเร็วและแข็งแรง ไม่มีโรคพืชหรือแมลงมารบกวน แต่ถ้าเปิดเพลงที่เร็วและร้อนแรงมากๆ ต้นไม้ก็จะโตช้าและมีโรคมากกว่าต้นไม้ที่ไม่ได้ฟังเพลง ก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้สาเหตุว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น แต่การทดลองของ ดร.อิโมโตะ ได้ช่วยให้คำตอบว่าคงเป็นเพราะผลจากพลังชี่ของเสียงเพลงที่เปิดให้ต้นไม้ฟัง ที่เป็นทั้งชี่ด้านบวกและด้านลบสำหรับต้นไม้ ได้ไปเปลี่ยนโครงสร้างรูปทรงของน้ำภายในต้นพืช และส่งผลต่อสุขภาพของต้นพืชนั้นเอง
พลังและเลือด
ตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน พลังชี่ในร่างกายมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย เลือดที่ไหลเวียนไปตามเส้นเลือดในร่างกายจะทำหน้าที่นำอ๊อกซิเจนและสารอาหารไปหล่อเลี้ยงเซลล์ของอัยวะต่างๆ พร้อมกับรับเอาคาร์บอนไดออกไซด์และของเสียที่เกิดจากการทำงานของเซลล์กลับมาเพื่อขับออกจากร่างกาย ตามหลักการของแพทย์แผนจีน การไหลเวียนของเลือดจะต้องอาศัยพลังชี่เป็นแรงผลักดัน เนื่องจากเลือดมีคุณสมบัติเป็นอิน คือชอบอยู่นิ่งและให้ความชุ่มชื้น ไม่สามารถไหลเวียนได้เอง ส่วนพลังชี่แท้ในร่างกายมีคุณสมบัติเป็นหยาง ชอบเคลื่อนไหวและให้ความอบอุ่น ความสัมพันธ์ของเลือดและพลังชี่ในร่างกายจึงเป็นความสัมพันธ์ของพลังอิน-หยางในระบบการไหลเวียนของเลือดในร่างกายนั่นเอง การแพทย์จีนจึงมีคำกล่าวที่ว่า พลังวิ่งเลือดเดิน พลังนิ่งเลือดหยุด
ถ้าพลังชี่สมบูรณ์ เลือดก็สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้สะดวก ทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง ในทางกลับกัน ถ้าเลือดพร่อง พลังชี่ก็จะพร่องตามไปด้วย พลังชี่จะเป็นตัวควบคุมเลือดให้ไหลเวียนอยู่ภายในเส้นเลือด ถ้ากระแสพลังชี่ติดขัดถูกคัดขวาง เลือดก็จะไหลเวียนช้าลง มีความข้นและความหนืดมากผิดปกติ จนอาจจับตัวเป็นลิ่มคั่งค้างอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ที่การแพทย์จีนเรียกว่า ภาวะเลือดคั่ง ซึ่งไม่เพียงหมายถึงการมีลิ่มเลือดในความหมายของการแพทย์ตะวันตกเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงความผิดปกติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย ส่งผลให้อวัยวะต่างๆ หรือบางส่วนได้รับเลือดหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ จึงทำงานได้ไม่เต็มที่หรือผิดปกติไป นานวันเข้าก็กลายเป็นสาเหตุบั่นทอนสุขภาพ เกิดเป็นโรคภัยไข้เจ็บในที่สุด ด้วยเหตุนี้ภาวะชี่พร่องและเลือดพร่องจึงมักเกิดขึ้นร่วมกัน
ในภาวะที่ร่างกายเสียสมดุลและขาดการพักผ่อน กระแสชี่จะไหลเวียนไม่ดีอย่างที่ควรเป็น อาจช้าหรือติดขัด ทำให้เราเกิดความรู้สึกเมื่อยล้าตามข้อ เริ่มหาว และตาแห้ง เพราะชี่ไม่ได้รับการบำรุง เมื่อระดับของชี่ลดลงเรื่อยๆ ร่างกายจะชดเชยอาการพร่องโดยใช้กล้ามเนื้ออัดฉีดให้ชี่ทำงานมากขึ้น เป็นเหตุให้เกิดความตึงหรือความเครียดเกร็งของกล้ามเนื้อ และก็สามารถช่วยเพิ่มกำลังของชี่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ในระยะยาวชี่จะค่อยๆ ลดน้อยลงจนไหลอย่างกระปริดกระปรอย โดยเฉพาะบริเวณส่วนบนของร่างกาย ทำให้สมาธิลดลง เมื่อชี่ไหลเวียนไม่สะดวก ถ่ายเทชี่เสียไม่คล่อง สารพิษในร่างกายที่การแพทย์ปัจจุบันเรียกว่า อนุมูลอิสระ (free radicals) ก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้ปวดเมื่อยอ่อนล้ามากขึ้น และเนื่องจากชี่ที่เริ่มเป็นพิษนี้ไหลผ่านไปตามผิวหนังอย่างเฉื่อยชา จึงทำให้เกิดอาการคันและภูมิแพ้ขึ้น ในคัมภีร์เต๋าโบราณของจีนระบุว่า หากชี่กายอ่อนแอ ชี่จิต (อารมณ์) ก็จะอ่อนแอด้วย เมื่อชี่จิตอ่อนแอ ก็ไม่สามารถส่งชี่ไปบำรุงปัญญา ทำให้ชี่ปัญญาไม่มีเรี่ยวแรง จิตวิญญาณ (เสิน) ก็ไม่สามารถเกิดเพิ่มได้ ดวงวิญญาณหรือกายละเอียดก็จะไม่ได้รับการขัดเกลาและพัฒนาให้สูงขึ้น
พฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันที่ดูไม่น่าจะสลักสำคัญอะไรมากนัก สามารถก่อให้เกิดผลเสียมากมายต่อสุขภาพและชีวิตอย่างที่เราคาดไม่ถึง เช่น การนั่งในท่าเดียวนานเกินไป ทำให้ลำตัวส่วนล่างหรือกล้ามเนื้อและอวัยวะบริเวณท้องน้อยไม่ได้เคลื่อนไหว ทำให้การไหลเวียนของชี่ไตและเลือดติดขัด ถ้านั่งในลักษณะเดิมๆ นานๆ เป็นประจำ เช่น นั่งทำงานนานเพราะต้องการให้ได้งานมากๆ หรือเล่นเกมจนเพลิน จะทำให้ชี่ไตไหลเวียนไม่สะดวก ชี่ใหม่ไปชำระชี่เก่าได้ไม่ดี ไตก็จะเริ่มอ่อนแอ เมื่อชี่ไตพร่อง ไตจะปรับสมดุลชี่โดยไปดึงชี่จากอวัยวะใกล้เคียงมา ทำให้ชี่ของอวัยวะเหล่านั้นลดลงตามไปด้วย และก็ต้องปรับสมดุลด้วยการไปดึงชี่จากอวัยะใกล้เคียงอื่นๆ เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องกันไปเป็นลูกโซ่จนกว่าทั้งระบบจะเข้าสู่สมดุลใหม่อีกครั้ง และเนื่องจากเส้นชี่ของไตมีปฏิสัมพันธ์กับอารมณ์กลัว เมื่อชี่ไตพร่อง ก็ส่งผลให้อารมณ์ไม่มั่นคง จิตใจเกิดความกังวลหวาดกลัวง่าย บางครั้งวิตกหวั่นไหวแม้ในเรื่องเล็กๆ หรือกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เมื่อจิตใจกังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องมากเกินไป จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองหรือการใช้สติปัญญา ขาดสมาธิในการทำงานและทบทวนขัดเกลาจิตใจ บั่นทอนการพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเอง ในทางกลับกัน การเก็บสะสมความกลัวความวิตกกังวลไว้จนจมลึกอยู่ในระดับจิตใต้สำนึก ที่เรียกว่ากลัวอยู่ลึกๆ ก็บั่นทอนสุขภาพได้เช่นกัน คนที่เคยประสบอุบัติเหตุรถยนต์และไม่จัดการกับความกลัวการใช้รถใช้ถนนที่เกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุนั้น ผลของอารมณ์กลัวนี้จะปรากฏเป็นอาการป่วยทางร่างกายให้เห็นได้ภายในเวลาสองปี
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า แม้เพียงพฤติกรรมหรืออารมณ์เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งผิดเพี้ยนไปจากความเป็นปกติตามธรรมชาติ โดยเฉพาะพฤติกรรมตามวิถีการดำเนินชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน เช่น นอนดึก ตื่นสาย อาหารเช้าไม่มีหรือทานแค่ขนมปังกับกาแฟ ระหว่างวันดื่มน้ำน้อย อั้นปัสสาวะ เครียดกับงาน ฯลฯ พฤติกรรมเหล่านี้มักเกิดขึ้นจนกลายเป็นความเคยชิน และความเคยชินเล็กๆ น้อยๆ ที่ถูกละเลยเหล่านี้ก็ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตช่วงที่เหลืออยู่ได้โดยที่เราไม่ทันรู้ตัว และส่วนใหญ่เมื่อเริ่มรู้ตัวเพราะอาการเริ่มปรากฏ แต่ยังไม่รุนแรง ก็จะยังไม่ใส่ใจ เพราะ(อ้างว่า)ไม่มีเวลา กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เมื่อสุขภาพร่างกายเข้าสู่ขั้นวิกฤต หรือสายเกินแก้เสียแล้ว ดังที่มักได้ยินกันบ่อยขึ้นโดยเฉพาะระยะหลังๆ ว่า คนที่เป็นมะเร็งส่วนใหญ่รู้ตัวหรือตรวจพบว่าเป็นมะเร็งก็เมื่อเป็นถึงขั้นที่ 3 หรือเข้าขั้นที่ 4 แล้ว หรือที่เคยมีข่าวว่าคนอายุราว 30-40 ที่ร่างกายดูแข็งแรงไม่เจ็บไข้ นั่งทำงานอยู่ในที่ทำงานดีๆ มาทั้งวัน พอตกตอนเย็น อยู่ๆ ก็ฟุบไปกับโต๊ะทำงานหัวใจวายตาย เป็นต้น
แต่ถ้าร่างกายมีสุขภาวะที่สมบูรณ์ คือพลังชี่สมดุลและเต็มเปี่ยมทั่วร่างกาย เราจะรู้สึกสงบผ่อนคลาย ระบบต่อมไร้ท่อต่างๆ จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มการผลิตฮอร์โมนที่เป็นประโยชน์และลดการผลิตฮอร์โมนที่เป็นโทษต่อสุขภาพนานาชนิด และทำงานอย่างสมดุล ทำให้ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาสดใส ใบหน้าผุดผ่องดูอ่อนวัย เจริญอาหาร รับประทานอาหารมีรสชาด การย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหารดี มีสารอาหารที่จำเป็นไปบำรุงร่างกายเพียงพอ มีกำลังวังชา เสียงดังกังวาน ประสิทธิภาพการหายใจดี ระดับอ๊อกซิเจนในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ริมฝีปากมีสีแดงสด จิตใจแช่มชื่นเบิกบาน เห็นโลกสดใส รับความรู้สึกดี เคลื่อนไหวอย่างโปร่งเบา แขนขาและเอวแข็งแรง เดินเหินมีกำลัง ไม่เหนื่อยหอบ น้ำจากไตเพียงพอ ทำให้ดวงตาแจ่มใส ลูกตาแข็งแรง นัยน์ตามีสีดำและขาวแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน ปัญญาเฉียบคม แม่นยำ สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ดีโดยไม่ต้องฝืนหรือใช้ความพยายาม เป็นคนร่าเริง เข้มแข็ง เต็มไปด้วยพลังชีวิต ร่างกายจะดูแลตัวเองอย่างดีจนเจ้าตัวไม่ต้องรับรู้การทำงานตามปกติของร่างกาย และที่ภาวะนี้เราจะพบว่าชีวิตของเรามีประสิทธิภาพสูง เจ็บป่วยน้อยมาก สามารถใช้สติปัญญาได้อย่างต่อเนื่อง มีสมาธิเพิ่มขึ้น ความจำดีขึ้น เรียนรู้ได้รวดเร็ว และสร้างสรรค์งานได้อย่างลื่นไหลมีคุณภาพ
รวบรวมและเรียบเรียง – ทัศนีย์ เศรษฐ์บุญสร้าง
tatsanee@NawaChiOne.org
? สงวนลิขสิทธิ์