- บทที่ 1:?รู้จักและเข้าใจพลังชีวิต
- บทที่ 2:?พลังชีวิตมาจากไหน
- บทที่ 3:?พลังชีวิตมีผลกับสุขภาพอย่างไร
- บทที่ 4:?การฝึกฝนบ่มเพาะพลังชีวิต
- บทที่ 5:?ชี่กงกับดนตรี 5 เสียง
- บทที่ 6:?วิทยาศาสตร์กับพลังบำบัดของเสียง
- ปิดท้าย
สารบัญ
————————————————————————————————
พลังชีวิตมาจากไหน
คัมภีร์อี้จิง ซึ่งเป็นพื้นฐานของการแพทย์จีนแผนโบราณและตำราทางชี่กงถือว่า ที่มาของพลังชีวิต หรือพลังชี่ที่สัมพันธ์กับคนเรามากจาก 2 แหล่งหลักๆ คือ
1.พลังชีวิตก่อนกำเนิด หรือ ชี่ดั้งเดิม เป็นพลังธรรมชาติพื้นฐานของชีวิตที่เราได้มาจากพ่อ (พลังหยาง) รวมกับพลังจากแม่ (พลังอิน) ระหว่างที่ปฏิสนธิและเติบโตอยู่ในครรภ์มารดา ภาษาจีนเรียกว่า เจินชี่ หรือ จิงชี่ บางตำราก็เรียกว่า หยวนชี่ หรือ เซียนเทียนชี่ แปลว่าชี่ก่อนฟ้า หมายถึงพลังชีวิตต้นทุนที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด และมีคุณภาพแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นกับปัจจัยทางพันธุกรรม หรือชี่บรรพบุรุษ ของทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ ถ้าร่างกายของพ่อแม่แข็งแรง?พลังดั้งเดิมของลูกที่คลอดออกมาก็ย่อมแข็งแรงสมบูรณ์ อวัยวะครบ 32 แต่หากร่างกายของพ่อแม่อ่อนแอ มีโรคที่เป็นกรรมพันธุ์ พลังดั้งเดิมของลูกก็มักจะไม่สมบูรณ์ เพราะอาจติดโรคของพ่อแม่มาได้ ในชี่กงสายศาสนายังเชื่อว่า ชี่ดั้งเดิมนี้ขึ้นอยู่กับบารมีทางจิตวิญญาณ หรือบุญกรรมเก่าจากชาติภพก่อนๆ ของเจ้าตัวอีกด้วย
พลังชีวิตก่อนกำเนิด หรือพลังชี่ดั้งเดิม จะเป็นชี่พื้นฐานที่บ่งชี้คุณภาพชีวิตและสุขภาพของเราไปตลอดชีวิต ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงปริมาณหรือสร้างเพิ่มเติมขึ้นได้ เพราะการรับและพัฒนาพลังชีวิตก่อนกำเนิดนี้จะจบสิ้นลงเมื่อสายรก หรือสายที่เชื่อมต่อชีวิตของเรากับแม่ระหว่างที่อยู่ในครรภ์ ถูกตัดขาดหลังจากคลอดออกมาสู่โลกภายนอก ชี่ดั้งเดิมนี้มีแต่จะถูกใช้หมดไปเรื่อยๆ ตามอายุ คนเราจะแก่และอ่อนแอลงไปตามการลดน้อยลงของชี่ดั้งเดิม วันใดที่ชี่ดั้งเดิมหมด ก็หมายความว่าพลังชีวิตของเราก็หมดลงด้วย ซึ่งหมายถึงการสิ้นอายุขัยนั่นเอง ดังนั้นคนที่ใช้พลังชีวิตดั้งเดิมอย่างฟุ่มเฟือยโดยไม่ระมัดระวัง หรือด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ ก็เท่ากับเป็นการผลาญชี่ดั้งเดิมที่มีอยู่จำกัดให้หมดไปเร็วยิ่งขึ้น เป้าหมายของสุขภาพตามหลักการแพทย์จีนโบราณจึงหมายถึง การออมและถนอมชี่ดั้งเดิมนี้ให้คงอยู่มากและนานที่สุดเท่าที่จะทำได้
ศูนย์พลังของชี่ดั้งเดิมจะอยู่ที่ไตและบริเวณท้องน้อย ที่เรียกว่า ?ตันเถียนล่าง? (เซี่ยตันเถียน) ซึ่งจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับสารจิง ซึ่งเป็นสารจำเป็นเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตที่เก็บอยู่ในไตทั้ง 2 ข้าง ชี่ดั้งเดิมนี้จัดเป็นชี่ฝ่ายเย็น หรือพลังอิน และถือเป็น ?ชี่น้ำ? (สุ่ยชี่) เก็บสะสมไว้ในไต
2.พลังชีวิตหลังกำเนิด หรือชี่หลังฟ้า ภาษาจีนเรียกว่า โฮ่ว เทียนชี่ ชี่ประเภทนี้เป็นชี่ที่เรารับเข้าสู่ร่างกายจากภายนอกหลังจากสายชีวิตที่เชื่อมต่อเรากับมารดาระหว่างที่อยู่ในครรภ์ถูกตัดขาดหลังจากคลอด พลังชีวิตหลังกำเนิดจะไปช่วยเสริมพละกำลังให้กับพลังชี่ก่อนกำเนิดในร่างกาย ซึ่งมีที่มาจาก 3 แหล่งหลัก คือ
อากาศที่เราหายใจ เป็นพลังชีวิตจากฟ้า (ชี่ฟ้า)? คนเราเมื่อคลอดออกจากครรภ์มารดา จะถูกตัดสายรกที่เชื่อมต่อเพื่อรับพลังชีวิตจากแม่ให้ขาด กลายเป็นร่างที่เป็นอิสระ จากนั้นเราก็จะต้องเริ่มหายใจรับเอาอากาศภายนอกเข้าสู่ร่างกายด้วยตัวเองตลอดเวลาตั้งแต่บัดนั้นจนถึงวันตาย? มนุษย์เรารับพลังชีวิตจากอากาศในธรรมชาติรอบตัวผ่านการหายใจของปอด แต่จะสามารถรับได้มากน้อยแตกต่างกัน ขึ้นกับหลายปัจจัยซึ่งรวมถึง ขนาดของปอด?วิธีการหายใจลึกหรือตื้น?ยาวหรือสั้น และคุณภาพของอากาศที่หายใจเข้าไป ฯลฯ ถ้าสภาพแวดล้อมในชีวิตประจำวันของเราดี ได้รับอากาศบริสุทธิ์ ร่างกายก็จะได้พลังชี่ที่ดี ช่วยให้ร่างกายเติบโตแบบมีสุขภาพที่แข็งแรง แต่ถ้าอากาศแวดล้อมมีมลพิษ พลังชี่ที่ดีในอากาศก็ย่อมน้อย เมื่อสูดรับอากาศไม่บริสุทธิ์เหล่านั้นเข้าสู่ร่างกาย ก็จะส่งผลต่อสุขภาพได้ การฝึกหายใจให้เป็นระบบ หายใจให้เต็มปอด ด้วยอากาศบริสุทธิ์ จึงสามารถเพิ่มพลังชีวิตหลังกำเนิดให้ร่างกายได้
อาหารที่เราทาน เป็นพลังชีวิตจากดิน (ชี่ดิน) เมื่อคนเราคลอดออกจากครรภ์มารดาและมีชีวิตอยู่รอดหายใจเองได้แล้ว ก็ต้องทานอาหารเองด้วย เพราะไม่มีสายรกที่ส่งสารอาหารจากร่างกายของแม่มาให้อีกต่อไป อาหารที่เราทานในที่นี้ จะหมายถึงทุกสิ่งที่เรารับเข้าสู่ร่างกายทางปากและผ่านระบบการย่อยของร่างกาย ตั้งแต่ในปากไปถึงกระเพาะอาหารและม้าม ซึ่งรวมถึง น้ำ อาหาร พืช ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ และยารักษาโรค ฯลฯ มนุษย์รับพลังธรรมชาติชนิดนี้ได้มากน้อยแตกต่างกัน ขึ้นกับหลายปัจจัย?รวมถึงประสิทธิภาพของระบบการย่อยและการดูดซึมอาหารของร่างกายแต่ละคน?ความครบถ้วนของสารอาหารและคุณภาพของอาหารหรือระดับพลังชีวิตในอาหารที่รับประทานเข้าไป?ฯลฯ
อาหารต่างๆ ทั้งพืช ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ล้วนมีพลังชีวิตหรือปราณของตัวเองเช่นกัน พืชและสัตว์ที่เติบโตจากอาหารและสภาพแวดล้อมที่มีพลังชีวิตที่ดี ก็สามารถส่งต่อพลังชีวิตที่เก็บสะสมไว้มาให้เราได้ แก่นแท้ของอาหารจะอยู่ที่พลังชีวิตหรือปราณในอาหาร แต่พลังชีวิตในอาหารไม่สามารถตรวจวัดได้ด้วยหลอดทดลอง จึงเป็นเรื่องที่คนเรายังไม่อาจเข้าใจได้ด้วยระดับความรู้เชิงโภชนาการในปัจจุบัน สารอาหารต่างๆ ในเชิงโภชนาการ ไม่ว่าจะเป็นแคลอรี่ของคาร์โบไฮเครต หรือโปรตีน หรือแม้แต่วิตามิน ตามหลักการนี้ล้วนถือเป็นกากที่แยกพลังชีวิตออกไปแล้ว สารอาหารต่างๆ จะไปบำรุงเลี้ยงกายภาพของร่างกาย แต่พลังชีวิตหรือปราณในอาหารจะไปบำรุงเลี้ยงจิตใจ และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพชีวิต เพราะจิตเป็นตัวสั่งงานร่างกาย ไม่ใช่ร่างกายสั่งงานจิต ตามคำกล่าวที่ว่า ?จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว?
อาหารที่มีพลังชีวิตมาก คือ อาหารที่คงความเป็นธรรมชาติ (ไม่สำเร็จรูป) มีรสและกลิ่นที่แท้จริงของอาหารตามธรรมชาติอยู่มาก ผลิตตามฤดูกาลหรือเป็นผลผลิตจากธรรมชาติ และมีความสดใหม่ อาหารแต่ละชนิดจะมีระยะเวลาที่พลังชีวิตคงอยู่สั้นยาวแตกต่างกัน สังเกตได้จากเวลาการเน่าเสียตามธรรมชาติ การที่ทำให้เป็นของแห้งแล้วสามารถเก็บได้นาน เนื่องจากอาศัยพลังชีวิตของเกลือหรือการไม่มีความชื้นช่วยให้อาหารไม่เน่าเสีย
การอาศัยอาหารช่วยเสริมพลังชีวิตจะมีข้อจำกัดสำคัญสองประการ ประการแรก เราไม่สามารถดื่มกินอาหารเข้าสู่ร่างกายครั้งละมากๆ เพราะกระเพาะอาหารและลำไส้มีขีดจำกัดในการดูดซึม ทั้งยังเป็นอันตรายต่อระบบการทำงานของอวัยวะเหล่านี้ด้วย คนที่มีระบบการทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้ผิดปกติ เมื่อกินอาหารบำรุงราคาแพงๆ เข้าไป ไม่เพียงร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมดแล้ว แต่ยังอาจเกิดผลเสียเป็นอาการร้อนในได้อีกด้วย ประการที่สอง ในปัจจุบันอาหารทั่วไปส่วนใหญ่ไม่ได้ผลิตตามหลักหรือวิธีการตามธรมชาติ มีการใช้สารเคมีที่ไปทำลายพลังชีวิต ทำให้หลงเหลือพลังชีวิตอยู่น้อย โดยเฉพาะคนเมืองที่นิยมกิน ?อาหารขยะ? ราคาแพง นอกจากจะให้พลังชีวิตต่ำแล้ว ยังไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพนัก เพราะมักปนเปื้อนสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพจากกระบวนการผลิต ตั้งแต่การปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ที่ใช้สารเคมีผสมเป็นอาหาร หรือเป็นยาเพื่อป้องกันและกำจัดโรค รวมทั้งเสริมฮอร์โมนสังเคราะห์เพื่อเร่งการเจริญเติบโต ไปจนถึงการแปรรูปที่ใช้สารเคมีเพื่อถนอมอาหารให้ดูสวยงามและ/หรือให้เก็บได้นาน ซึ่งล้วนเป็นการทำลายคุณภาพของสารอาหารและพลังชีวิตตามธรรมชาติของอาหาร (ชี่ดิน) ให้เหลือน้อยลง ดังนั้น เราต้องรู้จักกินดี เพื่อให้ได้พลังชี่จากอาหาร การกินดีในที่นี้ไม่ใช่กินของแพง แต่กินของดีที่มีพลังชีวิต มีคุณค่าอาหารที่เป็นประโยชน์กับร่างกายอย่างแท้จริง คือการรู้จักเลือกกินอย่างฉลาด นั่นเอง
ธรรมชาติแวดล้อม เป็นพลังชี่ดั้งเดิมของทุกสิ่งในธรรมชาติ หรือหยวนชี่ของจักรวาล (ชี่สวรรค์) วิชาชี่กงในอดีตเรียกพลังนี้ว่า ?พลังชี่แท้? (เจินชี่ หรือ จิงชี่) แต่ยุคปัจจุบันจะเรียกพลังนี้ว่า ?พลังชี่ดั้งเดิม? (หยวนชี่) ประเทศตะวันตกส่วนใหญ่จะเรียกพลังนี้ว่า ?พลังจักรวาล? (Primordial Energy) ทั้งบนโลกและทั่วจักรวาลมีพลังงานที่เรามองไม่เห็นนี้อยู่ทั่วไปทุกหนแห่ง มากน้อยต่างกันไปตามสถานที่ ซึ่งวิทยาศาสตร์ปัจจุบันพิสูจน์พบว่าพลังเหล่านี้บางส่วนมีลักษณะเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า บางแห่งที่เป็นจุดรวมหรือจุดตัด (Node) ของคลื่นสนามพลัง ก็จะมีพลังงานนี้อยู่หนาแน่น พลังงานนี้มีผลต่อทุกสรรพสิ่งบนโลกและทั่วทั้งจักรวาล เราสามารถรับพลังงานนี้ได้จากหลายทาง ทั้งจากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ทะเล แม่น้ำ ภูเขา อากาศ ก้อนหินต้นไม้?ฯลฯ? มนุษย์เรามีประตูสำหรับรับพลังงานนี้ หรือที่เรียกกันว่าจักระ รวมทั้งสิ้น 360 จุด ซึ่งเป็นจักระหลัก 36 จักระ??อย่างไรก็ตามจักระเหล่านี้มักปิดอยู่?ทำให้รับพลังงานดั้งเดิมของจักรวาลไม่ได้??การฝึกชี่จะช่วยเปิดจักระเพื่อสามารถรับพลังที่ดีจากจักรวาลเข้าสู่ร่างกาย และขับพลังที่ไม่ดีออกจากร่างกายได้
พลังชีวิตหลังกำเนิดนี้สามารถสร้างเสริมและชดเชยส่วนที่ใช้ไปได้ ดังนั้นชี่หลังกำเนิดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพชีวิตของเรา เพราะหากเราสามารถสร้างเสริมเพิ่มพลังชี่หลังกำเนิดที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพให้กับร่างกาย รวมทั้งสามารถชดเชยส่วนที่สูญเสียไปในการดำเนินชีวิตได้ยิ่งมาก เราก็จะสามารถรักษาระดับพลังชี่ดั้งเดิมไว้ได้ยิ่งมากด้วย ดังนั้น พลังชี่หลังกำเนิดจึงเป็นปัจจัยที่สามารถกำหนดคุณภาพชีวิตและสุขภาวะของเราได้ เปรียบได้กับเป็นหางเสือที่จะช่วยให้เราสามารถเลือกทิศทางคุณภาพชีวิตของเราเองได้นั่นเอง
ศูนย์พลังของชี่หลังกำเนิดจะอยู่บริเวณกลางหน้าอกที่เรียกว่า ?ตันเถียนกลาง? (จงตันเถียน) จัดเป็นชี่ฝ่ายร้อน หรือพลังหยาง และถือเป็นชี่ไฟ (ฮั่วชี่) ส่วนที่เหลือจากการไปหล่อเลี้ยงอวัยวะภายในจะถูกนำไปเก็บสะสมไว้ในไต และจะถูกนำมาใช้อีกเมื่อร่างกายต้องการ จึงต้องมีการสะสมให้มีความเพียงพอสำหรับการใช้งานเมื่อต้องการ
ทั้งพลังชี่ดั้งเดิมและพลังชี่หลังกำเนิด ไม่ได้ต่างฝ่ายต่างอยู่แยกขาดจากกันในร่างกายของเรา ชี่ทั้งสองประเภทจะไหลมาประสานรวมกันเป็นพลังชี่ที่มีประสิทธิภาพ ที่เรียกว่า ?พลังชี่แท้? (เจินชี่ หรือ จิงชี่) ซึ่งเก็บสะสมอยู่ที่ไตและในเส้นชี่พิเศษในร่างกายที่ชื่อว่า ตูม่อ หรือ ต๊กแม๊ะ (เส้นกลางลำตัวด้านหลัง) ที่อยู่ตามแนวกระดูกสันหลัง หรือบริเวณเดียวกับระบบประสาทอัตโนมัติส่วนกลางซิมพาเธติกและพาราซิมพาเธติก ที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะสำคัญต่างๆ ภายในร่างกาย ที่เป็นกล้ามเนื้อเรียบซึ่งสมองควบคุมสั่งงานโดยตรงไม่ได้ เช่น หัวใจ ตับ ไต กระเพาะอาหาร ปอด เป็นต้น ระบบพลังชี่ของร่างกายจะค่อยๆ แจกจ่ายพลังชี่ภายในไปตามส่วนต่างๆ ทั่วร่างกายตามที่จำเป็น การแพทย์จีนแผนโบราณเชื่อว่าการจะมีสุขภาพที่ดีต้องถนอมชี่ดั้งเดิมไว้ พร้อมกับสร้างเสริมชี่หลังกำเนิดให้แข็งแรงและเพียงพออยู่เสมอ
พลังชีวิตด้านบวกและด้านลบ
พลังชีวิตหรือชี่ภายนอกที่ไหลเวียนอยู่รอบๆ ตัวเรานั้น ไม่จำเป็นต้องเข้ากับเราได้เสมอไป หรือมีคุณประโยชน์กับตัวเราไปทั้งหมด แต่ก็ไม่มีชี่ที่ดีหรือชี่ไม่ดี มีเพียงชี่ที่เข้ากับเราได้หรือไม่ได้ พลังชี่มีลักษณะทั้งที่เป็นบวกและลบต่อกันและกัน ชี่ด้านบวกหมายถึงชี่ที่เข้ากับเราได้และให้คุณกับเรา ส่วนพลังชี่ด้านลบก็จะตรงกันข้าม คือเข้ากับเราไม่ได้และให้โทษกับเรา เข้าทำนองเดียวกับอาหารและยา ซึ่งหากเข้ากับร่างกายของเราได้ก็จะเป็นประโยชน์กับการเจริญเติบโตและสุขภาพของเรา แต่หากอาหารและยาชนิดเดียวกันนั้น เข้ากับร่างกายของบางคนไม่ได้ ก็จะทำให้กลายเป็นอาหารพิษหรือยาพิษสำหรับคนผู้นั้นไป ดังนั้น อาหารที่ถือเป็นอาหารพิษ หรือยาที่ถูกจัดว่าเป็นยาพิษ ถ้ารู้จักใช้ก็สามารถนำมารักษาคนให้หายป่วยได้เช่นกัน
พลังชี่ด้านบวก (จิงชี่) ก็คือชี่ดั้งเดิมและชี่หลังกำเนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย ร่างกายรับไปเก็บสะสมไว้ในไตและเส้นชี่ตูม่อเพื่อคอยหล่อเลี้ยงร่างกายของเราให้ดำรงชีวิตอยู่ได้นั่นเอง ส่วนพลังชี่ด้านลบ (เซี๋ยชี่)?ก็คือภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมกับร่างกายและจิตใจ เป็นสาเหตุทำให้ร่างกายเจ็บป่วย บางครั้งจึงเรียกชี่ลบเหล่านี้ว่า ชี่ก่อโรค
หากแบ่งชีวิตของเราออกเป็น 3 ภาคตามศาสตร์ชี่กง ได้แก่ ร่างกาย อารมณ์จิตใจ และจิตวิญญาณ ชี่ลบที่เข้ากับเราไม่ได้ทางกาย หมายถึงพิษชี่ทั้ง 6 ได้แก่ ลม หนาว ร้อน ชื้น แห้ง และ ไฟ หรือภาวะแวดล้อม อุณหภูมิระดับความชื้น แรงลม เชื้อโรค และมลภาวะต่างๆ ส่วนชี่ลบที่เข้ากับเราไม่ได้ทางจิตใจ หมายถึงพิษอารมณ์ทั้ง 7 ได้แก่ โกรธ ดีใจ วิตกกังวล เสียใจ ตกใจ หวาดกลัว และ โศกเศร้า หรือชี่อารมณ์ด้านลบทั้งที่เกิดขึ้นภายในตัวเราเอง และที่เกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอก พวกเราคงเคยมีประสบการณ์ที่ความอารมณ์เสียของคนเพียงคนเดียว สามารถมีผลและอิทธิพลต่อบรรยากาศและอารมณ์ของคนทั้งห้องได้ นี้เป็นตัวอย่างของชี่อารมณ์ด้านลบที่เกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอก ส่วนชี่ลบที่เข้ากับเราไม่ได้ทางจิตวิญญาณ หรือชี่ที่สกัดกั้นการเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณ หมายถึงพลังความคิดด้านลบและความเห็นผิด หรือมิจฉาทิฐินั่นเอง
เป็นที่น่าเสียดายว่า ในขณะที่พวกเรากำลังพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เอาชนะธรรมชาติเพื่อความสะดวกสบาย ทันสมัย เราได้ค่อยๆ ทำลายความสมดุลของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ที่ตัวเราเองต้องพึ่งพาอาศัยเพื่อการดำรงชีวิตรอด การเสียสมดุลของธรรมชาติอย่างมากภายในเวลาที่รวดเร็ว ได้ก่อให้เกิดชี่ด้านลบเพิ่มมากขึ้น ปรากฏเป็นโรคภัยประหลาดๆ ใหม่ๆ มากมาย หรือเกิดภัยพิบัติรุนแรงมากขึ้นและบ่อยครั้งขึ้น เป็นการทำร้ายตัวเอง และสร้างปัญหาให้กับลูกหลานรุ่นต่อๆ ไปในอนาคตอย่างเห็นแก่ตัวยิ่ง
การได้มาและเสียไปของพลังชีวิต
มนุษย์โดยทั่วไปจะรับพลังชีวิตเข้าสู่ร่างกายจาก 3 ทางหลัก คือจากพ่อแม่ (ชี่ดั้งเดิม) จากอากาศที่เราหายใจ (ชี่ฟ้า) และอาหารที่เรารับประทาน (ชี่ดิน)? เราจะเสียชี่ไปกับสภาพแวดล้อมและวิถีการดำเนินชีวิต คือการทำงาน?การใช้ชีวิต?การมีเพศสัมพันธ์ และอารมณ์ต่างๆ? ดังนั้น ระดับของชี่หลังกำเนิดในร่างกายจะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นกับการเลือกวิถีการดำเนินชีวิตของเราแต่ละคน
ตามหลักสุขภาพของการแพทย์จีนแผนโบราณ วิถีการดำเนินชีวิต จะหมายถึงความเป็นองค์รวมทั้งหมดของชีวิต ที่รวมถึงคุณภาพของสภาวะแวดล้อม ภาวะด้านจิตใจ และสภาพทางสังคม ตามคำกล่าวที่ว่า ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง กายกับจิตเป็นหนึ่งเดียว (เทียน เหริน เหอ อิ เสิน สิง อี้ ถี่) ตำราการแพทย์ที่เก่าแก่ที่สุดของจีนที่ชื่อ หวางตี้เน่ยจิง ได้กล่าวไว้ว่า คนและฟ้าดินผสมผสานอยู่ร่วมกัน คนกับพระอาทิตย์และพระจันทร์ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองซึ่งกันและกัน คนแต่ละคนล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งซึ่งไม่สามารถแยกออกจากสิ่งแวดล้อมในจักรวาล
อาหารที่เราทาน ไม่ได้ให้เพียงแค่ความอร่อย อิ่มท้อง หรือสารอาหารที่ไปทำให้ร่างกายมีกำลังเท่านั้น แต่อาหารเหล่านั้นจะมีพลังชีวิตจากดินที่สามารถไปเสริมหรือลดทอนชี่แท้ในร่างกายได้ และยังส่งผลต่อความเป็นอินและหยางของอวัยวะภายในต่างๆ ด้วย คุณภาพของอากาศที่เราหายใจรับเข้าสู่ร่างกายก็หมายถึงคุณภาพของพลังชี่จากฟ้าที่สามารถไปเสริมหรือลดทอนชี่แท้ในร่างกาย และส่งผลต่อความเป็นอินหรือหยางในร่างกายเราด้วยเช่นกัน อากาศที่มีมลพิษนอกจากจะมีพลังชี่จากฟ้าอยู่น้อยแล้ว บางกรณียังมีชี่ก่อโรคปะปนอยู่ สามารถบั่นทอนพลังชีวิตในร่างกายได้ด้วย วิธีการหายใจแต่ละแบบ เช่น หายใจสั้น ยาว ถี่ ลึก ก็มีผลต่อการรับพลังชี่จากฟ้า ตำราแพทย์จีนเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อนระบุว่ามนุษย์เราหายใจ 13,500 ครั้งใน 24 ชั่วโมง ปัจจุบันโดยเฉลี่ยคนเราหายใจนาทีละ 18 ครั้ง หรือ 25,920 ครั้งใน 24 ชั่วโมง เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว ซึ่งเป็นผลจากการใช้แรงกายและแรงสมองอย่างหนัก ตามวิถีชีวิตที่มีการแข่งขันทางสังคมที่ดุเดือดและรุนแรงของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ที่ไร้พรมแดนในปัจจุบัน สภาพแวดล้อมที่มีมลภาวะทางเสียงและแสงสูง มีอบายมุขมากมายที่มายั่วยุอารมณ์ต่างๆ ทำให้คนในสังคมฉุนเฉียวโหดร้ายอำมหิตมากขึ้น ความโลภหวังรวยทำให้ผู้ผลิตไม่คำนึงถึงคุณภาพของผลผลิตและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดทั้งหลายเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อคุณภาพของอาหาร อากาศ หรือพลังชี่ภายนอกที่เรารับเข้าสู่ร่างกาย เพิ่มชี่ด้านลบให้มีมากขึ้น และทำให้เราต้องใช้พลังชี่ที่มีอยู่มากขึ้น เพื่อดำรงชีวิตอยู่ในสภาพสังคมแวดล้อมเช่นนี้ให้ได้
คุณภาพของพลังชี่ภายนอกที่รับเข้าสู่ร่างกาย รวมถึงความเป็นอิน-หยางนี่เอง ที่ส่งผลอย่างมากต่ออารมณ์และความคิด ซึ่งแสดงออกให้เห็นเป็นลักษณะบุคคลิกและอุปนิสัยของเราแต่ละคน การแสดงออกทางอารมณ์ วิธีการคิด ทัศนคติ และวิธีที่แต่ละคนมองและตัดสินโลกนั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่คนๆ นั้นเป็นด้วยตัวเขาเอง หรือเป็นด้วยผลจากการเลี้ยงดูบ่มเพาะให้เป็นเสียทั้งหมด แต่จะเป็นไปตามคุณภาพของ ?ชี่? ที่คนๆ นั้นได้รับจากวิถีการใช้ชีวิตที่เขาเลือกด้วย
หากเราจะทำบัญชีการได้มาและเสียไปของพลังชีวิต โดยถือว่าชี่หลังกำเนิดที่รับเข้ามาเป็นรายรับ?และชี่ที่เราเสียไปเป็นรายจ่าย??เมื่อรายรับมากกว่ารายจ่ายก็หมายถึงการมีสุขภาพดี?แข็งแรง?อายุยืนยาว??แต่ถ้ารายจ่ายมากกว่ารายรับก็หมายถึงการมีสุขภาพที่อ่อนแอ?โรคภัยไข้เจ็บถามหา?แก่ชราเร็วกว่าที่ควร การฝึกเพิ่มพลังชี่จึงเป็นอีกทางหนึ่งในการเพิ่มรายรับให้มากกว่ารายจ่าย ถ้าเราบริหารรายรับและรายจ่ายได้อย่างสมดุล ก็ไม่จำเป็นต้องไปดึงเงินออมที่เก็บสะสมไว้ (ชี่ดั้งเดิม) ออกมาใช้ เงินออมก็ไม่ ร่อยหรอ เมื่อสุขภาพร่างกายและจิตใจมีคุณภาพ ก็ไม่เดือดร้อนจากการเจ็บป่วย ผิวพรรณสดใสดูอ่อนกว่าวัย ในทางตรงข้าม คนที่ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย รับประทานมาก เที่ยวหนัก ดื่มหนัก ทำงานหามรุ่งหามค่ำ พักผ่อนน้อย ไม่ออกกำลังกาย ไม่คำนึงถึงคุณภาพชี่จากอาหารที่รับประทาน ไม่สนใจคุณภาพชี่จากอากาศที่หายใจ ไม่ใส่ใจคุณภาพชี่จากสภาพสังคมแวดล้อม ไม่ฝึกบ่มเพาะชี่หรือรับชี่จักรวาลเพิ่มเติมให้กับร่างกาย ก็เปรียบเหมือนการใช้ชี่ที่มีอยู่อย่างล้างผลาญ เมื่อมีรายจ่ายมากกว่ารายรับก็มีแต่ติดลบขาดทุนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ต้องไปดึงเงินออมหรือชี่ดั้งเดิมออกมาใช้อยู่เสมอหรือตลอดเวลา ความเจ็บป่วยทั้งทางกาย ทางอารมณ์ และทางความคิด จะมีมากกว่าคนทั่วไป ถ้าไม่ป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ความแก่ชราก็จะมาเยือนเร็วกว่าที่ควร เพราะชี่ดั้งเดิมที่เก็บออมไว้ค่อยๆ ร่อยหรอลงเรื่อยๆ และในที่สุดก็จะถูกใช้จนหมดก่อนเวลาอันสมควร ดังจะเห็นได้ว่า คนที่ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมา หรือเสพสุข กิน กาม เกียรติ มากเกินเลย หรือคนที่ต้องตรากตรำงานหนัก หรือคนที่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่บีบคั้นตึงเครียด ทั้งทางกายภาพและจิตใจ ล้วนดูแก่กว่าวัยหรืออายุสั้นด้วยกันทั้งสิ้น
รวบรวมและเรียบเรียง – ทัศนีย์ เศรษฐ์บุญสร้าง
tatsanee@NawaChiOne.org
? สงวนลิขสิทธิ์